รถเก๋ง รถกระบะ หรือมอเตอร์ไซค์ควรเติมลมยางเท่าไรให้พอดีกับรถยนต์ของคุณ
เช็กว่ารถยนต์ของคุณควรเติมแรงดันลมยางเท่าไรได้ที่นี่
หลายคนสงสัยว่ารถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ที่ใช้อยู่จะต้องเติมแรงดันลมยางเท่าไร เพื่อให้คุณสามารถเติมลมยางได้เหมาะสมกับยานพาหนะของคุณ เราจะนำเสนอวิธีการตรวจสอบลมยางมาตรฐานโรงงาน และแรงดันลมยางที่อยู่ในช่วงที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์แต่ละประเภท
การเติมลมยางให้เป็นไปตามค่าแรงดันลมยางที่ผู้ผลิตแนะนำ
มาเริ่มต้นกันด้วยวิธีเติมลมยางให้ตรงกับค่าแรงดันลมยางที่ผู้ผลิตกำหนดไว้ว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับรถหรือยาง โดยสาเหตุที่เราแนะนำให้คุณเติมลมยางด้วยการอ้างอิงจากสิ่งที่ผู้ผลิตระบุไว้ ก็เพราะว่าพวกเขาได้ทำการตรวจสอบประสิทธิภาพและเงื่อนไขในการขับขี่ด้วยยางที่มีแรงดันลมยางในค่าดังกล่าวอย่างครบถ้วนแล้ว ซึ่งถือเป็นค่าแรงดันลมยางที่จะทำให้คุณขับขี่รถได้มั่นใจ นุ่มสบาย ประหยัดน้ำมัน และปลอดภัยที่สุด
สำหรับใครที่ไม่ทราบว่าค่าแรงดันลมยางที่เหมาะสมตามมาตรฐานผู้ผลิตนั้นควรเติมที่เท่าไร ขอให้คุณเริ่มดูตามบริเวณเหล่านี้
- ที่สติกเกอร์ข้างประตูคนขับ
- ที่ฝาปิดถังน้ำมัน
- ในคู่มือของรถ
นอกจากนี้ ทางผู้ผลิตยังระบุค่าแรงดันลมยางที่เหมาะสมกับแต่ละเงื่อนไขในการใช้งานที่แตกต่างไว้ให้อีกด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้
- แรงดันลมยางสำหรับการใช้งานปกติ: นี่คือแรงดันลมยางมาตรฐานที่เหมาะสำหรับการขับขี่ใช้งานในชีวิตประจำวัน
อีกเรื่องที่คุณควรรู้ไว้ก็คือ ค่าแรงดันลมยางตามมาตรฐานของผู้ผลิต จะมีระบุไว้ทั้งหน่วย BAR หรือหน่วย PSI (1 bar = 14.50 psi) และสำหรับประเทศไทยเราจะคุ้นเคยกับการใช้หน่วย PSI มากกว่า
การเติมลมยางให้เหมาะสมกับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์แต่ละประเภท
เพื่อไขข้อสงสัยว่าควรเติมลมยางเท่าไรให้เหมาะสมกับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์แต่ละประเภท เราจึงจะพาคุณไปดูว่าค่าแรงดันลมยางควรอยู่ในช่วงระหว่างใดบ้าง
- รถเก๋งขนาดเล็กหรืออีโคคาร์ ที่มีล้อขนาด 15-16 นิ้ว ควรเติมลมยางราว 28-32 PSI
- รถเก๋งขนาดกลาง ขนาดใหญ่ หรือรถ SUV ที่มีล้อขนาด 17-20 นิ้ว ควรเติมลมยางราว 30-36 PSI
- รถเก๋ง รถกระบะ หรือรถเอสยูวีที่ใส่ยางขนาด 19-21 นิ้ว ที่มีแก้มยางเตี้ยตั้งแต่ 30-40% (เช่น 245/35 R20) โดยดูจากเลขสองตัวหลัง ควรเติมแรงดันลมยางราว 38-45 PSI ขึ้นอยู่กับความหนาของยาง
- รถกระบะที่ใส่ยางเดิมจากโรงงาน ขนาด 16-19 นิ้ว และไม่ได้ต้องการบรรทุกน้ำหนักมาก ควรเติมลมยางราว 35-40 PSI
- รถตู้ขนผู้โดยสาร 7-11 คน หรือรถตู้บรรทุกสินค้า ที่ใส่ยางเดิมจากโรงงาน ขนาด 15-16 นิ้ว และไม่ได้ต้องการบรรทุกน้ำหนักมาก ควรเติมลมยางราว 43-55 PSI
- มอเตอร์ไซค์ทั่วไป และบิ๊กไบค์ ควรเติมลมยางราว 28-40 PSI โดยขึ้นอยู่กับค่าแรงดันลมยางที่มีระบุไว้ในคู่มือประจำรถ
หากคุณปล่อยให้ลมยางอ่อนหรือเผลอเติมแรงดันลมยางที่มากกว่าค่าที่ระบุไว้ ยางก็จะมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนที่ด้อยลง ทำให้ระยะเบรกยาวขึ้น และยังเพิ่มโอกาสที่ยางจะเกิดการแตกได้ง่ายอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังทำให้ยางเกิดการสึกหรอจนอายุการใช้งานน้อยลงกว่าปกติ และเพิ่มอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นอีกด้วย เรามาดูวิธีลดความเสี่ยงเหล่านี้และดูว่ารถของคุณควรเติมแรงดันลมยางเท่าไร
การเติมแรงดันลมยางรถยนต์ไม่ถูกต้องมีผลเสียอะไรบ้าง?
การเติมแรงดันลมยางตามคำแนะนำของผู้ผลิตนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญต่อความปลอดภัยขณะขับขี่รถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นอย่างมาก โดยคุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าว ไม่อย่างนั้นแล้วคุณอาจได้รับผลเสียดังนี้
ยางมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติ
หากปล่อยให้ลมยางอ่อนจะทำให้โครงสร้างยางได้รับความเสียหายจากการที่ยางรับน้ำหนักมากเกินไป ส่วนลมยางที่แข็งเกินไปก็ทำให้หน้ายางสึกหรอไม่เท่ากัน
การยึดเกาะถนนลดลง
การเติมลมยางที่มากหรือต่ำกว่าค่าแรงดันลมยางที่ผู้ผลิตแนะนำไว้ จะมีโอกาสเกิดการลื่นไถลบนพื้นเปียกรวมถึงทางปกติเพิ่มขึ้นมาก
ระยะเบรกเพิ่มขึ้น
แรงดันลมยางที่ต่างจากค่าที่ผู้ผลิตแนะนำไว้เพียง 1 bar หรือ 14 psi จะทำให้ระยะเบรกบนถนนที่เปียกลื่นไกลขึ้นกว่าเดิมถึง 11 เมตร
สิ้นเปลืองน้ำมันกว่าเดิม
ยางที่มีแรงดันลมอ่อนลงเพียง 14 psi (1 bar) จะเพิ่มแรงต้านการหมุนซึ่งทำให้รถต้องใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นคิดเป็น 1 ถังต่อปีเลยทีเดียว
การเติมลมยางให้พอดีจะมอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการขับขี่ให้คุณทุกเส้นทาง
คุณคงได้รู้แล้วว่าการเติมลมยางให้มีค่าแรงดันลมยางอยู่ในเกณฑ์ที่ผู้ผลิตแนะนำจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขณะขับขี่ ได้ทั้งความปลอดภัย แถมประหยัดค่าใช้จ่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขึ้น
โดยปกติแล้วลมยางในยางรถยนต์จะลดลงเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว (โดยทั่วไปแล้วจะลดลงราว 0.07 bar หรือ 1 PSI ต่อเดือน) นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคุณจึงจำเป็นต้องทำการตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างสม่ำเสมอ
หากรถยนต์ของคุณผลิตขึ้นหลังปี 2014 อาจเป็นไปได้ว่ารถของคุณจะมีระบบ TPMS (ระบบตรวจเช็กแรงดันลมยาง) ที่จะเตือนให้คุณทราบเมื่อแรงดันลมยางอ่อนลง แต่เราขอแนะนำว่าอย่ารอจนเกิดสัญญาณเตือนดังขึ้นจึงค่อยตรวจสอบแรงดันลมยาง แบบนั้นถือว่าไม่ดีต่อทั้งยางรถยนต์และความปลอดภัยของคุณเอง