มองหาขนาดยางรถยนต์ได้จากที่ไหน?
สำหรับใครที่ไม่สะดวกเดินไปที่รถยนต์เพื่อดูว่ายางที่ใช้อยู่นั้นมีขนาดเท่าไร เรามีวิธีดูขนาดยางรถยนต์ที่ใครก็สามารถทำตามได้ง่ายๆ เพียงดูใน 3 ตำแหน่งดังนี้
คู่มือประจำรถ ทั้งแบบที่เป็นสมุดกระดาษที่ได้มาตอนซื้อรถ หรืออาจลองค้นหาจากเว็บไซต์รถยนต์คันที่คุณใช้อยู่ก็ได้ โดยภายในนั้นจะมีขนาดยางรถที่ติดมากับรถยนต์บอกไว้อย่างครบถ้วน
ข้างประตูฝั่งคนขับ เมื่อคุณเปิดประตูฝั่งคนขับจะเห็นว่ามีป้ายหรือแผ่นที่ระบุรายละเอียดของขนาดยางรถยนต์ที่ติดมากับรถ พร้อมด้วยแรงดันลมยางที่เหมาะสมสำหรับการบรรทุกน้ำหนักที่แตกต่างกัน
ที่ฝาถังน้ำมัน จุดสุดท้ายที่สามารถมองหาขนาดยางรถยนต์ที่เหมาะกับรถของคุณตามสเปกโรงงาน จะอยู่ที่บริเวณฝาถังน้ำมันด้านใน
ตัวเลขบนยางหมายถึงอะไร มีวิธีดูขนาดยาง หรือสเปกอื่นๆ อย่างไร?
เชื่อว่าหลายคนคงสงสัยว่าวิธีดูขนาดยางรถยนต์ที่ถูกต้องนั้นจะต้องพิจารณาอะไรบ้าง รวมถึงบรรดาตัวเลขและตัวอักษรบนยางรถยนต์ที่มีมากมายนั้นหมายถึงอะไร เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาทำความเข้าใจไปพร้อมกันว่าวิธีดูอย่างไร
วิธีดูขนาดยางรถยนต์ที่ใครก็อ่านเข้าใจได้ง่าย
เรามาเริ่มต้นวิธีดูขนาดยางรถยนต์ด้วยการทำความเข้าใจถึงตัวเลขและตัวอักษรที่อยู่บนยาง เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อยางรถยนต์เส้นใหม่เพื่อใช้กับรถคันโปรดได้อย่างถูกต้องที่สุด เพื่อที่จะได้รับสมรรถนะในด้านต่างๆ ที่เหมาะสมกับรถของคุณ ทั้งในเรื่องการยึดเกาะถนนและความประหยัดน้ำมันที่เข้ากันได้ดีกับรถของคุณมากที่สุด
เบื้องต้นคุณควรรู้ไว้ว่าตัวอักษร เช่น
● P หมายถึง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล (Passenger Car)
● LT หมายถึง รถบรรทุกขนาดเล็ก (Light Truck)
● C หมายถึง ยางรถตู้พาณิชย์ (Van Commercial Tyre)
● XL, HL หรือ Reinforced (เสริมความแข็งแรง) หมายถึง ยางที่มีความสามารถในการรับน้ำหนักสูงกว่าระดับปกติของขนาดยาง ยางดังกล่าวจำเป็นต้องเปลี่ยนด้วยยางที่เทียบเท่ากันเท่านั้น (ตัวอย่างเช่น: หากใช้ยาง HL อยู่ก็ต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่เป็นยาง HL เหมือนกัน)
● T ยางใช้ชั่วคราว (Temporary)(ล้ออะไหล่)
วิธีอ่านความกว้างและอัตราส่วนของยางรถยนต์
ตัวเลข 205/55 สำหรับตัวเลข 205 หมายถึงความกว้างหน้าตัดของยาง โดยระบุเป็นหน่วยมิลลิเมตรและกำหนดระยะห่างระหว่างแก้มยางด้านในและด้านนอกของยาง ส่วนตัวเลข 55 หมายถึงเปอร์เซ็นต์ ที่บ่งบอกความสูงของแก้มยางระหว่างจุดบนสุดของดอกยางและขอบล้อคือ 55% ของความกว้างของยางนั่นเอง
วิธีดูประเภทโครงสร้างของยางและเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อรถยนต์
ตัวอักษร R จะเป็นตัวที่ระบุว่าโครงสร้างภายในของยางคือเรเดียล (Radial) ส่วนตัวเลข 17 ที่อยู่ถัดมานั้นหมายถึงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อที่ยางถูกออกแบบมาให้ใส่ได้พอดี ซึ่งหากคุณเลือกใช้ยางเรเดียลที่ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีที่คิดค้นโดยมิชลิน จากการใช้ส่วนผสมของยางและโลหะ รวมถึงวัสดุเสริมความแข็งแรงจากสิ่งทอ เพื่อสร้างโครงสร้างที่ทนทานมากในบริเวณดอกยาง ทว่ามีความยืดหยุ่นที่บริเวณแก้มยาง ซึ่งช่วยให้ดอกยางมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นและลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงด้วยการลดแรงต้านทานการหมุน
วิธีดูค่าการรับน้ำหนักและความเร็วสูงสุดของยางรถยนต์
ตัวเลขและตัวอักษร 91V บนแก้มยางรถยนต์นั้น มีวิธีอ่านง่ายๆ ก็คือ 91 เป็นตัวเลขที่ระบุอัตราการรับน้ำหนักหรือดัชนีการรับน้ำหนักของยาง ที่สามารถบรรทุกน้ำหนักได้ด้วยยางเส้นเดียว โดยมีหน่วยเป็นกิโลกรัม (กก.)
ส่วนตัวอักษร V หมายถึงอัตราความเร็วสูงสุดที่ยางรถยนต์เส้นนั้นรองรับได้ โดยคุณสามารถดูตารางความสอดคล้องระหว่างรหัสเหล่านี้และค่าต่าง ๆ ของรหัสได้ในบทความเกี่ยวกับอัตราการรับน้ำหนักและความเร็วของเรา อัตราเหล่านี้คือข้อมูลสำคัญ เช่นเดียวกับขนาดยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณพิจารณาเลือกยางใหม่สำหรับรถยนต์ของคุณ
วิธีดูชื่อแบรนด์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์
คุณจะทราบถึงชื่อแบรนด์ของผู้ผลิตและกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่มีการแสดงอยู่บนแก้มยางเสมอ ในรูปนี้ คุณจะเห็นแบรนด์มิชลินและมิชลินแมนอย่างชัดเจน ส่วนชื่อรุ่น "PILOT SPORT 4 S" หมายถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์
วิธีดูประเภทของยางรถยนต์
คำว่า "Tubeless (ไม่มียางใน)" บนแก้มยางเป็นสิ่งบ่งบอกว่ายางของคุณไม่จำเป็นต้องใช้ยางใน ซึ่งบางครั้งยางในก็จำเป็นสำหรับล้อรถยนต์บางประเภท ในทางตรงข้าม คำว่า "Tube type (มียางใน)" คือสิ่งที่ระบุว่ายางรถยนต์เส้นนั้นจำเป็นต้องติดตั้งยางใน
โดยยางรถยนต์ที่ไม่มียางในนั้นจะมีน้ำหนักเบากว่า ประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า และน่าเชื่อถือมากกว่า เพราะความเสี่ยงที่ยางในรถยนต์จะเกิดการรั่วหรือเสียหายระหว่างการขับขี่จะน้อยกว่ายางรถยนต์ที่ต้องใช้ยางในเป็นอย่างมาก
วิธีการอ่านค่าแรงดันลมยาง
วิธีดูปียางรถยนต์
รหัสวันผลิตยาง (Tyre Date Code) ถูกระบุไว้บนยางโดยเป็นส่วนหนึ่งของ “หมายเลขประจำยาง” (Tyre Identification Numbers: TIN) ซึ่งแสดงสัญลักษณ์และตัวเลขต่าง ๆ
รหัสส่วนแรกเป็นไปตามข้อกำหนดของสหรัฐอเมริกา สำหรับรหัสวันผลิตยางคือตัวเลข 4 ตัวสุดท้าย
สัญลักษณ์ DOT แสดงให้ทราบว่ายางเส้นนั้นเป็นไปตามข้อกำหนดของกระทรวงคมนาคมแห่งสหรัฐอเมริกา
รหัสอื่น ๆ ที่ระบุตามมา คือ
1) รหัสโรงงานผู้ผลิต
2) รหัสขนาดยาง
3) รหัสเฉพาะตามที่กำหนด
4) สัปดาห์และปีที่ผลิต (ยกตัวอย่างเช่น 4714)
ตัวเลข 2 ตัวแรกแสดงสัปดาห์ที่ผลิต และตัวเลข 2 ตัวสุดท้ายแสดงปีที่ผลิต ในตัวอย่างนี้ รหัสวันผลิตยางระบุเป็น 4714 แสดงว่ายางเส้นนี้ผลิตในสัปดาห์ที่ 47 ของปี ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557)
หมายเหตุ: สัญลักษณ์และตัวเลขดังกล่าวระบุไว้บนยางเพียงด้านเดียว ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นได้หากยางด้านนั้นหันออกด้านนอก แต่จะไม่สามารถมองเห็นหากยางด้านนั้นหันเข้าด้านใน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับทิศทางการหมุนของล้อ
สำหรับวันหมดอายุของยางเส้นนั้น สามารถดูได้จากการสึกหรอของยาง ซึ่งสามารถวัดได้โดยใช้ตัวบ่งชี้การสึกหรอ
สำหรับอายุยางนั้น จะเริ่มนับจากวันที่ติดตั้งเข้ากับรถยนต์และไม่ได้นับจากวันที่ผลิตยางแต่อย่างใด โดยยางมิชลินคงคุณภาพและยืดอายุการใ้ช้งานยาง ให้ใหม่เสมอ และมั่นใจได้เพราะเรามีรับประกันคุณภาพการผลิตนานถึง 6 ปี
รู้ได้อย่างไรว่ายางรถยนต์ที่ใช้อยู่ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแล้ว?
การที่จะรู้ว่ายางรถยนต์ที่คุณกำลังใช้อยู่นั้นสึกหรอจนถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแล้วหรือไม่นั้น สามารถดูได้จากตัวบ่งชี้การสึกหรอที่อยู่บนยางรถยนต์ เช่น เมื่อดอกยางบนยางรถยนต์ของคุณสึกถึงระดับเดียวกับตัวบ่งชี้การสึกหรอ หมายความว่ายาเหลือดอกยางในระดับต่ำที่สุดแล้ว และควรเปลี่ยนให้เร็วที่สุดเพื่อประสิทธิภาพในการขับขี่และความปลอดภัย
สำหรับยางมิชลิน คุณสามารถดูว่ายางสึกหรอไปมากน้อยขนาดไหนแล้วได้อย่างง่ายดายโดยดูที่สัญลักษณ์มิชลินแมนขนาดเล็กที่ปรากฏอยู่บนจุดต่าง ๆ ของแก้มยาง เมื่อคุณเห็นมิชลินแมน คุณจะรู้ได้ว่าตัวบ่งชี้การสึกหรอนั้นจัดเรียงอยู่ในตำแหน่งตามความกว้างของยาง
เครื่องหมายรูปภูเขาหิมะและ M+S บนแก้มยางหมายถึงอะไร?
เครื่องหมายรูปภูเขาหิมะ หมายถึงมาตรฐานล่าสุดสำหรับยางฤดูหนาวหรือยางสำหรับการขับขี่บนหิมะ ซึ่งมีเพื่อรับประกันว่าการขับขี่ในฤดูหนาวจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากยางที่มีเครื่องหมายนี้ผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ต่างๆ อย่างครบถ้วน และการที่มีโลโก้นี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่ายางเส้นนั้นเหมาะสำหรับการใช้งานเพื่อเข้าถึงพื้นที่ที่มีข้อบังคับพิเศษ เช่น สกีรีสอร์ท เป็นต้น
เครื่องหมาย M+S หมายถึง "Mud (โคลน)" และ "Snow (หิมะ)" ยางที่มีเครื่องหมายนี้จะเป็นยางสำหรับขับขี่บนเส้นทางหิมะ อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพของยางที่มีเฉพาะเครื่องหมาย M+S อาจไม่ได้เหมาะกับการใช้งานในฤดูหนาว เนื่องจากไม่ได้รับการทดสอบตามข้อบังคับนั่นเอง
แต่ยางที่มีเครื่องหมาย “3PMSF” เท่านั้นที่มีการรับประกันว่าการขับขี่ในช่วงฤดูหนาวจะมีประสิทธิภาพอย่างแท้จริง เพราะยางถูกออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้บนหิมะ และเป็นไปตามข้อกำหนดที่ยางสำหรับฤดูหนาวพึงมี
สำหรับยางฤดูหนาวที่ผ่านการรับรอง (เครื่องหมาย M+S และ/หรือ 3PMSF) จะรองรับการใช้ความเร็วสูงสุดได้ต่ำกว่ายางฤดูร้อนรุ่นเดิม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการจำกัดความเร็วรถตามยางฤดูหนาวที่ติดตั้งไว้ ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่การจำกัดความเร็วตามทฤษฎีสำหรับรถยนต์อาจสูงกว่าขีดจำกัดความเร็วของยาง อาจต้องติดสติกเกอร์แสดงความเร็วที่ต่ำกว่าภายในรถยนต์ ในจุดที่ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
เครื่องหมาย OE คืออะไร?
ผู้ผลิตรถยนต์บางรายติดตั้งยางที่ปรับแต่งมาโดยเฉพาะตามความต้องการให้กับรถยนต์ของตนเอง โดยเครื่องหมายบนยางรถยนต์ที่หมายถึง "อุปกรณ์จากโรงงาน" ระบุว่ายางนี้ออกแบบโดยผู้ผลิตและผ่านการอนุมัติจากผู้ผลิตรถยนต์เพื่อติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
เครื่องหมาย OE ไม่ได้อ้างอิงถึงผู้ผลิตเท่านั้นแต่ยังรวมถึงรุ่นรถยนต์ที่เฉพาะเจาะจงด้วย ความแตกต่างระหว่างยางประเภทต่าง ๆ เหล่านี้อาจเกี่ยวข้องกับการควบคุมรถ ความนุ่มสบาย เสียงรบกวน และบางครั้งก็อาจเกี่ยวข้องกับข้อกำหนดของระบบเกียร์และระบบซอฟต์แวร์ของรถ นอกจากนี้ยังได้รับการปรับปรุงแรงต้านทานการหมุนให้เหมาะสมที่สุดด้วย
มิชลินขอแนะนำให้เลือกใช้ยางที่ถูกติดตั้งมาจากโรงงาน หรือเลือกที่ได้รับสัญลักษณ์ที่ถูกต้องสำหรับใช้ในรถแต่ละรุ่น
ตัวอย่างเช่น สัญลักษณ์ "AO" ที่แสดงถึงยางที่ใช้สำหรับรถยนต์ Audi ดังตัวอย่างที่แสดงอยู่ในตารางด้านล่าง
มิชลินได้รับการยอมรับและความมั่นใจให้เป็นยางติดรถ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.michelin.co.th/the-most-demanding-brands-trust-us

