Choose a language
การขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการปล่อยไอเสีย

การขับขี่แบบประหยัดพลังงานสามารถช่วยคุณประหยัดเชื้อเพลิงได้อย่างไร?

เคล็ดลับและคำแนะนำสำหรับยางรถยนต์ รถเอสยูวี และรถตู้

ทุกวันนี้ผู้คนให้ความสนใจในเทคนิค "การขับขี่แบบประหยัดพลังงาน" หรือ "การขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม" มากขึ้นเรื่อย ๆ ในส่วนนี้ เราจะมาดูความหมายโดยละเอียดของการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน และดูว่าพฤติกรรมการขับขี่บางรูปแบบสามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและช่วยประหยัดเงินงบประมาณด้านเชื้อเพลิงได้อย่างไร 

การขับขี่แบบประหยัดพลังงานคืออะไร?

คำว่า “ประหยัดพลังงาน (eco)” จากการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน (eco-driving)

  • ยอมาจากหลักการสองข้อ ข้อแรกคือระบบนิเวศ (Ecology): การขับขี่โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับผู้บริโภคในปัจจุบัน
  • ข้อที่สองคือการประหยัด (Economical): การประหยัดเชื้อเพลิงส่งผลดีต่อการเงินของผู้ขับขี่ การขับขี่แบบประหยัดพลังงาน หรือ “การขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” จึงเป็นชุดเทคนิคการขับขี่ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการปล่อยมลพิษและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้มากที่สุด และหากคุณขับรถยนต์ไฟฟ้า เทคนิคนี้ยังช่วยคุณเพิ่มอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ด้วย!

เทคนิคการขับรถรูปแบบใดที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้?

เคล็ดลับการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน 9 ข้อต่อไปนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และช่วยประหยัดเงินของคุณ

1. ตรวจสอบความดันลมยางของคุณ

ยางที่เติมลมยางต่ำเกินไปเพิ่มการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อการควบคุมรถของคนขับด้วย ในทางกลับกัน ยางที่เติมลมมากเกินไปจะลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง แต่เพิ่มระยะทางการเบรกและลดอายุการใช้งานของยาง โดยปกติแล้ว คุณสามารถดูการระบุระดับแรงดันลมยางที่เหมาะสมได้ในคู่มือการบำรุงรักษารถ ที่เก็บของหน้ารถ บนประตู หรือฝาปิดช่องเติมน้ำมัน

2. เลือกยางที่เหมาะสม

“ยางประหยัดน้ำมัน” ออกแบบมาเพื่อสร้างแรงต้านทานการหมุนต่ำ อีกทั้งยังสามารถลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ของคุณได้ : มองหาสัญลักษณ์ "ปั๊มน้ำมัน" บนฉลากและเลือกยางที่มีระดับ A

3.  เตรียมป้องกันล่วงหน้า: ชะลอรถ อย่าเบรก

ตัวอย่างเช่น หลีกเลี่ยงการเร่งความเร็วเพื่อขับรถให้ทันสัญญาณไฟเขียว และการเหยียบเบรกกระทันหัน วางแผนล่วงหน้าและเว้นระยะห่างให้เพียงพอเพื่อให้รถค่อย ๆ ชะลอความเร็วได้อย่างทันท่วงที

4.  หลีกเลี่ยงการขับรถแบบขับ ๆ หยุด ๆ

มันไม่ใช่เรื่องง่ายในเขตเมืองที่มีรถหนาแน่น แต่การขับ ๆ หยุด ๆ เป็นระยะเวลานานจะส่งผลต่อการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของคุณ วิธีหนึ่งที่จะทำให้การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกิโลเมตรต่อลิตร (km/l) ดีขึ้นเมื่อขับขี่รถในเมืองคือการขับรถแบบสบาย ๆ! คุณไม่จำเป็นต้องขับรถต่อท้ายรถคันหน้าแบบกระชั้นชิดตลอดเวลา โชคดีที่ทุกวันนี้มีรถยนต์หลายรุ่นที่ติดตั้งโหมดการขับขี่ในเมือง ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง

ปัจจุบันนี้ โหมดการขับขี่ในเมืองสามารถลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเมื่อขับขี่ในช่วงที่มีการจราจรติดขัดได้

5. หลีกเลี่ยงการเร่งความเร็วกะทันหัน

ยิ่งคุณเปลี่ยนความเร็วของวัตถุเร็วเท่าไร ยิ่งต้องใช้แรงมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นการเพิ่มความเร็วรถกะทันหันจึงต้องใช้พลังงานในปริมาณที่มากขึ้น ส่งผลให้คุณสิ้นเปลืองเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น

6.  ขับรถตามขีดจำกัดความเร็ว

การจำกัดความเร็วไม่ได้กำหนดขึ้นเพื่อเหตุผลด้านความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังช่วยลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงและการปล่อยมลพิษด้วย 

7. วิเคราะห์สภาพพื้นที่ในการขับขี่

การรักษาความเร็วคงที่เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีในการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงกิโลเมตรต่อลิตรที่ดีขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังขับรถเข้าใกล้ทางลาด ปล่อยให้รถเคลื่อนที่ช้า ๆ แล้วแรงโน้มถ่วงจะดึงรถให้เคลื่อนไปข้างหน้าเอง หากมีทางชันหลังจากนั้น ให้เริ่มเร่งความเร็วเมื่อคุณขับมาถึงด้านล่างของทางลาดแล้ว ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (cruise control) คืออะไร? แม้ว่าระบบนี้จะมีประโยชน์สำหรับการขับขี่บนทางด่วน แต่ทางที่ดีควรปิดใช้งานบนภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา

8. อย่าสตาร์ทรถค้างไว้

หลีกเลี่ยงการสตาร์ทรถค้างไว้หากไม่จำเป็น ซึ่งเป็นผลดีต่อทั้งการเงินของคุณและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการสตาร์ทรถค้างไว้เมื่อจอดรถเพื่อโทรศัพท์ นั่งในรถเพื่อรอรับบุตรหลาน หรือรอในช่วงที่มีการจราจรติดขัดมาก

9. ใช้เครื่องปรับอากาศเท่าที่จำเป็น

การใช้เครื่องปรับอากาศโดยไม่จำเป็นหมายถึงการใช้เชื้อเพลิงมากขึ้นและการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สู่บรรยากาศมากขึ้น เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วต่ำ ควรใช้ระบบระบายอากาศหรือลดกระจกหน้าต่างลง

การขับขี่แบบประหยัดพลังงาน: เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยคุณในการประหยัดเชื้อเพลิง

Cyrille Roget ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารด้านเทคนิคและวิทยาศาสตร์ของมิชลิน เขามีตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับวิธีการประหยัดเชื้อเพลิงด้วยเทคนิคการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน 

เขาอธิบายว่า “ค่อย ๆ เร่งความเร็วโดยใช้ประโยชน์จากกำลังของรถ เช่น เมื่อสตาร์ทเครื่อง” ไม่จำเป็นต้องกดคันเร่งเพื่อเร่งเครื่องให้เร็วสุด ในด้านความเร็ว: “ขับรถตามขีดจำกัดความเร็วบนทางหลวงพิเศษเพื่อประหยัดเชื้อเพลิง ไม่จำเป็นต้องเร่งความเร็วเพื่อขึ้นเนิน และคุณสามารถชะลอรถให้ช้าลงเล็กน้อยได้บนทางลาด”

ในเขตเมือง คุณ Cyrille กล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้คุณไขว้เขวคือการขับรถต่อท้ายรถคันหน้า ในเขตเมืองบางแห่ง ผู้คนมีความสามารถด้านการขับขี่ในรูปแบบที่น่าตื่นเต้น แต่สิ่งสำคัญคือการยึดตามจังหวะการขับขี่ของคุณเอง และการเตรียมป้องกันล่วงหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

การหลีกเลี่ยงการเร่งความเร็วกะทันหันคือกุญแจสำคัญของการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน

และปัจจัยสำคัญที่สุดประการหนึ่งในการประหยัดเชื้อเพลิง และการใช้ประโยชน์สูงสุดจากเชื้อเพลิงกิโลเมตรต่อลิตร (kml) คืออะไร? ยางรถยนต์! คุณ Cyrille อธิบายว่าพลังงานที่ “สูญเปล่า” ปริมาณมาก (เชื้อเพลิงที่ไม่ได้ใช้ในการหมุนล้อรถ) สูญเสียไปเนื่องจากแรงต้านทานการหมุน: “การสูญเสียนี้คิดเป็นปริมาณมากถึง 20% หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือปริมาณหนึ่งในห้าส่วนของน้ำมันเต็มถึง และเมื่อคุณพิจารณาถึงปริมาณเชื้อเพลิงที่เราเติมให้รถยนต์คนหนึ่งในแต่ละปี คุณคงเข้าใจดีว่าคุณสูญเสียเชื้อเพลิงไปในปริมาณมาก”

วิธีแก้ปัญหาเพื่อลดแรงต้านทานการหมุน (โดยไม่สูญเสียแรงฉุดลาก) คือการใช้ยางที่เหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น ยาง MICHELIN e.PRIMACY รุ่นใหม่ ยางรุ่นนี้ออกแบบมาเป็นพิเศษโดยคำนึงถึงทุกแง่มุมของการขับขี่แบบประหยัดพลังงาน ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถประหยัดเชื้อเพลิงและประหยัดเงินได้เนื่องจากมีแรงต้านทานการหมุน (1) ต่ำเป็นพิเศษ

ด้วยแรงต้านการหมุนที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งชั้นนำโดยทั่วไป (1) MICHELIN e.PRIMACY ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงได้ 0.21 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร คิดเป็นเงินประมาณ 3,000 บาทตลอดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ (2,3) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ระยะทางเพิ่มขึ้นประมาณ 7% เมื่อเทียบกับยางประเภทอื่น ซึ่งได้แก่ 30 กม. สำหรับระยะทางประมาณ 400 กม. (4)

ผู้ขับขี่สามารถช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร? 

อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังดำเนินการในขั้นตอนสำคัญเพื่อการปรับปรุงผลกระทบของยานพาหนะต่อสิ่งแวดล้อมผ่านนวัตกรรมต่าง ๆ เช่น ยางรุ่น MICHELIN e.PRIMACY หรือยางรุ่น MICHELIN PILOT SPORT EV แต่ผู้ขับขี่ก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน ดังที่เราได้ทราบกันแล้ว การขับขี่แบบประหยัดพลังงานไม่ได้เป็นเพียงวิธีการประหยัดเชื้อเพลิง ประหยัดเงิน และรักษาความปลอดภัยบนท้องถนนเท่านั้น แต่แนวความคิดเกี่ยวกับการขับขี่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยังเป็นพื้นฐานสำคัญอีกด้วย หากเราร่วมมือกันเพื่อขับเคลื่อนไปสู่อนาคตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

เครดิตภาพ:

Halbergman / Getty
Zero Creatives / Getty
Karin & Uwe Annas / Adobe Stock
Kiyoshi Hijiki / Getty

Legal mentions

(1) ยางในหมวดหมู่ MICHELIN E.PRIMACY ถูกกำหนดให้เป็นหนึ่งในยางรถยนต์คุณภาพสูง เช่นเดียวกับแบรนด์ CONTINENTAL, GOODYEAR, BRIDGESTONE, PIRELLI, DUNLOP และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นยางที่ติดตั้งมาพร้อมกับรถยนต์โดยเฉพาะ (กล่าวคือ ยางประเภทนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อบรรลุเป้าหมายเฉพาะของผู้ผลิตรถยนต์) แต่เป็นยางที่สามารถหาซื้อได้จากร้านค้าปลีก
การทดสอบแรงต้านทานการหมุน - การทดสอบแรงต้านทานการหมุนบนเครื่องจักรโดยบริษัท Applus Idiada ตามคำขอของมิชลิน ดำเนินการในเดือนมิถุนายน (ยางใหม่) และสิงหาคม (ยางที่มีการขัดถู 2 มม.) ปี 2020 โดยทดสอบกับยางขนาด 205/55 R16 91V, การเปรียบเทียบยางรุ่น MICHELIN e.PRIMACY (ยางใหม่: 5.58kg/t และยางสึก: 5.13kg/t) กับ MICHELIN PRIMACY 4 (ยางใหม่: 7.74kg/t และยางสึก: 6.25kg/t) ; BRIDGESTONE TURANZA T005 (ยางใหม่: 7.17kg/t และยางสึก: 5.81kg/t) ; CONTINENTAL ECOCONTACT 6 (ยางใหม่: 6.39kg/t และยางสึก: 5.49kg/t) ; CONTINENTAL PREMIUM CONTACT 6 (ยางใหม่: 8,93kg/t และยางสึก: 6,94kg/t) ; DUNLOP BLURESPONSE (ยางใหม่: 7.97kg/t และยางสึก: 5.54kg/t) ; GOODYEAR EFFICIENT GRIP 2 (ยางใหม่: 7.01kg/t และยางสึก: 5.38kg/t) ; PIRELLI CINTURATO P7 BLUE (ยางใหม่: 6.96kg/t และยางสึก: 6.30kg/t) ; PIRELLI CINTURATO P7 (ยางใหม่: 8.79kg/t และยางสึก: 6.97kg/t)

(2) สำหรับยางใหม่ MICHELIN E·PRIMACY สร้างแรงต้านทานการหมุนเฉลี่ย 2 กก./ตัน ซึ่งน้อยกว่าคู่แข่งชั้นนำ, เทียบเท่ากับการลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงสูงถึง 0.21 ลิตร/100 กม., เทียบเท่ากับผลการทดสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุด 5 ก. สำหรับ VW GOLF 7 1.5 TSI หรือเทียบเท่ากับผลการทดสอบการทำงานอัตโนมัติถึง 7% สำหรับ VW E.GOLF 
ระหว่างการใช้งาน MICHELIN E·PRIMACY สร้างแรงต้านทานการหมุนเฉลี่ย 1.5 กก./ตัน ซึ่งน้อยกว่าคู่แข่งชั้นนำ, ผลการทดสอบเทียบเท่ากับการประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุดถึงประมาณ 3,000 บาท ผลการทดสอบนี้เทียบเท่ากับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ลดลงถึง 174 กก. ผลการทดสอบการใช้งานนั้นประเมินจากค่าเฉลี่ยของข้อมูลยางใหม่และยางที่มีการขัดผิว 2 มม. โดยคำนึงถึงประสิทธิภาพการทำงานตามเวลาจริง - ประเมินผลการทดสอบทั้งหมดบนพื้นฐานการขับขี่ในระยะทาง 35,000 กม. และราคาน้ำมัน 1.46 ยูโร/ลิตร (https://ec.europa.eu/energy/data-analysis/weekly-oil-bulletin_en 6/1/2020 ติดอันดับ 10 ประเทศแรกที่มีการสัญจรด้วยยานยนต์ทั้งสภาพภูมิประเทศภายในประเทศและต่างประเทศ - https://ec.europa.eu/ eurostat/web/transport/data/database) การประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงและต้นทุนที่แท้จริงอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการขับขี่ รถยนต์ หรือแรงดันลมยาง

(3) เพิ่มระยะทางการใช้งานแบตเตอรี่ EV และการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สำหรับยางใหม่ MICHELIN E·PRIMACY สร้างแรงต้านทานการหมุนเฉลี่ย 2 กก./ตัน ซึ่งน้อยกว่าคู่แข่งชั้นนำ, เทียบเท่ากับการลดการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงสูงถึง 0.21 ลิตร/100 กม., เทียบเท่ากับผลการทดสอบการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูงสุด 5 ก. สำหรับ VW GOLF 7 1.5 TSI หรือเทียบเท่ากับผลการทดสอบการทำงานอัตโนมัติถึง 7% สำหรับ VW E.GOLF

คุณกำลังใช้งานเบราว์เซอร์เวอร์ชั่นที่ไม่รองรับการทำงานของเว็บไซด์
คุณกำลังใช้งานเบราว์เซอร์เวอร์ชั่นที่ไม่รองรับการทำงานของเว็บไซด์ซึ่งอาจส่งผลกระทบจากใช้งานในบางส่วน กรุณาเลือกใช้เบราว์เซอร์หรืออัพเกรดเบราว์เซอร์ให้ตรงกับรายการข้างล่างเพื่อประโยชน์สูงสุดในการเยี่ยมชมเว็บไซด์