ยางรถยนต์ไฟฟ้า: องค์ประกอบสำคัญของการขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้า
สัมผัสประสบการณ์ใหม่กับยางที่ดีที่สุดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
อัตราเร่ง การเบรก แรงบิด ระดับเสียงรบกวน ฯลฯ การขับขี่รถยนต์ไฟฟ้ามอบประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เพียงแค่การทดลองขับง่าย ๆ แล้วคุณจะรู้สึกเหมือนอยู่บนพรมวิเศษ ที่มีเพียงแค่เสียงลมและเสียงยางรถยนต์ไฟฟ้าในพื้นหลังเท่านั้น มิชลินเป็นแชมป์แห่งการขับขี่อย่างยั่งยืนทั้งบนถนนและสนามแข่ง เพราะได้ทำการศึกษาเทคโนโลยีด้านยางรถยนต์ไฟฟ้ามาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการมีส่วนร่วมใน Formula E ซึ่งได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรมาตั้งแต่การแข่งขันฤดูกาลแรกในปี 2014 การแข่งขันรถยนต์ไฟฟ้าระดับสูงได้ทำหน้าที่เป็นห้องปฏิบัติการเพื่อการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านสมรรถนะการใช้พลังงานเพื่อส่งมอบยางรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีที่สุด
ความท้าทายด้านระยะทางการขับขี่ของรถยนต์ไฟฟ้า
อนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับระยะทางในการขับขี่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการยอมรับในระดับสาธารณะ เราสามารถเพิ่มระยะทางได้โดยการเลือกรูปแบบการขับขี่ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น และใช้ระบบเบรกแบบชาร์จไฟใหม่ทุกเมื่อที่อำนวย แต่นั่นยังไม่เพียงพอ ดังนั้น ผู้ผลิตรถยนต์จึงลงทุนอย่างมากในโครงการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างแบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพและกักเก็บพลังงานได้ดีขึ้น แต่ข้อเสียคือแบตเตอรี่เริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งส่งผลให้ยางสึกเร็วขึ้น สำหรับผู้ผลิตยางรถยนต์แล้ว สิ่งนี้แสดงถึงความท้าทายสองประการ: ยางรถยนต์ไฟฟ้าจำเป็นต้องรับน้ำหนักบรรทุกที่หนักกว่าเดิม แต่ยังคงต้องสามารถใช้งานได้อย่างยาวนาน มิชลินประสบความสำเร็จในการพัฒนายางสองรุ่น: MICHELIN e.Primacy และ MICHELIN Pilot Sport EV
ยางรถยนต์ไฟฟ้าของมิชลิน: เพิ่มระยะทางการขับขี่ให้กับแบตเตอรี่ของคุณ
ด้วยอีลาสโตเมอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง ยาง MICHELIN e.Primacy ให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมในหมวด EV ทั้งในด้านอายุการใช้งานที่ยาวนานและแรงต้านการหมุน ยางนี้ช่วยเพิ่มระยะทางของรถยนต์ไฟฟ้าขึ้น 7%*(1) เทียบเท่ากับระยะทางที่เพิ่มขึ้นอีก 30 กม. จากการเดินทาง 400 กม. ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีประโยชน์อย่างมากเมื่อสิ้นสุดการเดินทาง ในกรณีที่คุณต้องการไปถึงสถานีชาร์จที่อยู่ใกล้ที่สุด ยาง MICHELIN Pilot Sport EV ออกแบบมาเพื่อการขับขี่แบบสปอร์ต มีแรงต้านการหมุนที่ต่ำมาก และด้วยเทคโนโลยี GreenPower Compound ที่ส่งผลให้ได้ระยะทางเพิ่มขึ้น 60 กม.*(2) สำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการใช้ศักยภาพของรถยนต์ให้เต็มสมรรถนะ การปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วยยางรถยนต์ไฟฟ้าสามารถสร้างความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
การขับขี่แบบสปอร์ตที่มาในรูปแบบไฟฟ้า!
ว่ากันว่าไฟฟ้าเดินทางด้วยความเร็วแสง สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือหากคุณใช้ยางรถยนต์ไฟฟ้า คุณจะสามารถเร่งความเร็วของรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูงได้อย่างเต็มที่ MICHELIN Pilot Sport EV เป็นยางรถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกกฎหมายสำหรับท้องถนน ออกแบบมาเพื่อการขับขี่แบบสปอร์ต และพัฒนามาจากประสบการณ์จริงใน Formula E ของมิชลิน จึงสามารถรองรับอัตราเร่งที่รุนแรงและการกระจายน้ำหนักตามลักษณะเฉพาะของรถยนต์ประเภทนี้ ยาง MICHELIN Pilot Sport EV ทรงสมรรถนะด้วยเทคโนโลยี ElectricGrip Compound TM ซึ่งใช้ยางที่มีความแข็งแกร่งสูง เหมาะสำหรับการขับขี่แบบสปอร์ตเมื่อยางต้องทำงานหนัก ให้การยึดเกาะที่ดีเยี่ยมทั้งในสภาพพื้นผิวที่แห้งและเปียก ดังนั้น ยาง MICHELIN Pilot Sport EV จึงให้ความสนุกสนานในการขับขี่อย่างมาก พร้อมให้ความมั่นใจทั้งในด้านสมรรถนะและความปลอดภัย
จากการแข่งขันจักรยานสู่รถจักรยานไฟฟ้า
ในปัจจุบัน รถจักรยาน 1 ใน 5 คันที่จำหน่ายเป็นรถจักรยานไฟฟ้า มิชลินตอบสนองความต้องการของผู้ที่ชื่นชอบการปั่นจักรยานด้วยยางรถจักรยานไฟฟ้าที่มีให้เลือกหลากหลายรุ่น รุ่น MICHELIN PROTEK ให้ความทนทานและการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม เพื่อการขับขี่อย่างปลอดภัยในทุกพื้นที่ของเมืองและทุกสภาพอากาศ นักปั่นจักรยานไฟฟ้าจะสัมผัสได้ถึงยางที่แตกน้อยลงและให้การสนับสนุนทางไฟฟ้าที่ดีขึ้น
*(1) มีขนาดให้เลือกมากขึ้นและปล่อย CO2 น้อยลง ยาง MICHELIN e-PRIMACY ใหม่มีแรงต้านการหมุนน้อยกว่าคู่แข่งโดยเฉลี่ย 2 กก./ตัน ซึ่งเทียบเท่ากับการประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุดถึง 0.21 ลิตร/100 กม. ซึ่งสอดคล้องกับการลดการปล่อย CO2 ลงได้ 5 กรัมในรถ VW Golf 7 1.5 TSI และทำระยะทางได้มากขึ้น 7% ในรถ VW e.Golf การทดสอบแรงต้านการหมุนบนเครื่องทดสอบโดย Applus Idiada ตามคำขอของมิชลินในเดือนมิถุนายน (ยางใหม่) และสิงหาคม 2020 (เจียรยางออก 2 มม.) ในยางขนาด 205/55 R16 91V
*(2) ให้ระยะทางการขับขี่ได้ไกลกว่าในรถยนต์ไฟฟ้าสมรรถนะสูง จากการศึกษาแรงต้านการหมุนภายในบริษัทที่ดำเนินการไปในเดือน 10/2020 กับยางขนาด 255/45 R19 โดยการเปรียบเทียบยาง MICHELIN Pilot Sport EV (6.47 กก./ตัน) กับยาง MICHELIN Pilot Sport 4 SUV (8.8 กก./ตัน) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีน้ำหนัก 2,151 กก. ในระยะทาง 540 กม. ความแตกต่าง 2.3 กก./ตัน นี้ จะส่งผลให้ได้ระยะทางเพิ่มขึ้นกว่า 60 กม. ซึ่งเทียบเท่ากับการให้ระยะทางมากขึ้นกว่าเดิม 10%